นายพงศกร เหมือนลือ เลขที่ 28 ห้องc
เรียนเช้าวันพฤหัสบดี
หนังสือ กลับหัวคิด เปลี่ยนชีวิตให้เป็นบวก

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Bitcoin” สกุลเงินใหม่ สะดวกหรือเสี่ยง? ในโลกออนไลน์

ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้สนใจเรื่อง “BitCoin” เป็นจำนวนมาก วันนี้ MThai News จึงขอนำเสนอเรื่องราวนี้“BitCoin” หรือบิทคอยน์ เป็นสกุลเงินดิจิตอล หรือเงินที่กำหนดใช้ในโลกออนไลน์ หรือโลกเสมือนจริง “BitCoin” เปรียบเสมือน เงินธนบัตร แต่ไม่มีการควบคุมจากธนาคารกลางและไม่มีทุน หลักทรัพย์ หรือทองคำใดๆมารองรับ เหมือนเงินสกุล อื่นๆทั่วโลก ถึงขนาดที่กลุ่มแฮกเกอร์บอกว่า “BitCoin” เป็นสกุลเงินตราในฝันสำหรับพ่อค้าออนไลน์เลยทีเดียว แล้วในความเป็นจริง เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่มาดูกัน
bitcoin-01
การยอมรับของ “Bitcoin” ในเมืองไทยนั้น แม้ว่าจะเริ่มมีเว็บไซต์เกิดขึ้นมาทำการซื้อขายผ่านสกุลเงินดังกล่าวก็ตาม แต่ไม่นานนี้ประมาณ 1 สัปดาห์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมากประกาศว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่รับรองว่า“BitCoin” เป็นสกุลเงิน ที่ถูกกฏหมายในประเทศไทย เพราะมีความเสี่ยงอย่างมาก มีโอกาสที่บริษัทที่ตั้งขึ้นมารองรับการซื้อขายผ่านระบบสกุลเงิน “BitCoin” จะเจ๊งโดยง่าย เพราะไม่มีหลักทรัพย์ใดๆ หรือทองคำมารับประกันมูลค่าจริงๆของ “BitCoin” มูลค่าเงินที่กำหนดก็สูญหายได้ง่าย หากบริษัทเจ๊งขึ้นมา นี่คือเรื่องจริงที่แบงก์ชาติล้อมคอกไว้ก่อนหรับในเมืองไทย แต่หากยังไม่กลัวก็ตามมาดูกันต่อ
BitCoin เกิดขึ้นเมื่อไร และทำงานอย่างไร
“BitCoin” เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2509 โดยนักพัฒนานิรนาม ที่ใช้ชื่อว่า นายซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น บุคคลปริศนาซึ่งนักข่าวเชื่อว่าเป็นบิดาผู้ก่อตั้ง “BitCoin” และได้พยายามตามสัมภาษณ์ก็ตาม แต่ถูกปฎิเสธทุกครั้งที่ตามไป ที่สำคัญชื่อนี้ตั้งขึ้นมาเป็นนามสมมติในโครงการสร้าง “BitCoin” นั่นเอง
A Bitcoin wallet on a smartphone.
แต่อย่างไรก็ตามสกุลเงินแห่งโลกดิจิตอลนี้ มีการนำมาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอย่างแพร่หลายบนโลกออนไลน์ในปัจจุบัน จากจุดประสงค์ของผู้พัฒนาระบบ คือต้องการ ให้เป็นสกุลเงิน (Currency) ที่เป็นอิสระจริงๆ ไม่ใช่เป็นของรัฐใดรัฐหนึ่ง หรือธนาคารใดๆ ผู้ถือครองสกุลเงินนั้นๆ ต้องมีความอิสระ ในการนำเงินนั้นไปแลกเปลี่ยนกับอะไรก็ได้ โดยที่ไม่เกี่ยวกับ เชื้อชาติ ศาสนา หรือภูมิลำเนา และผู้ถือ “BitCoin”  ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงตัวว่าตัวเองเป็นใคร  ในการแลกเปลี่ยนแต่ละครั้ง และที่สำคัญต้องไม่มีใครมีสิทธิ์จะ”พิมพ์เงิน” มาตามใจชอบได้ มวลชนคือเจ้าของที่แท้จริงของสกุลเงิน ซึ่งต่างจากสกุลเงินปัจจุบันที่เป็นแบบ Fiat Currency คือมีค่าเพราะว่า รัฐหรือธนาคารรับรอง
kytarnL
การใช้งานระบบสกุลเงินนี้ เริ่มจากคุณดาวน์โหลดโปรแกรมชื่อ bitcoin wallet หรือจะเรียกว่า กระเป๋าเงินบิทคอยน์ ซึ่งโปรแกรมจะสร้าง address หรือเรียกง่ายๆว่า สร้างเลขที่บัญชีของคุณ โดยเป็นของคุณโดยเฉพาะ และเวลาคุณขายสินค้าผ่านออนไลน์ได้ ผู้ซื้อจ่าย “BitCoin” มาให้ยัง bitcoin address ของคุณ ถ้าจะเทียบเคียงก็คือ
bitcoin wallet      คือ     สมุดบัญชี
Address               คือ     เลขที่บัญชีธนาคาร
Block chain           คือ     ไฟล์ ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลการฝากถอนเงินของทุกๆคน
Bitcoin                   คือ      เงินธนบัตร
wallet Card            คือ      รหัส 34 ตัวอักษร สำหรับเจ้าของบัญชี
ราคาของ   “BitCoin” 1 หน่วย  ขึ้นมาถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน จาก 20 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งมูลค่าขึ้นเร็วมากปีหนึ่งขึ้นทีละ 100  ดอลลาร์สหรัฐ ก็ขยับมูลค่าขึ้นรวดเร็ว ก็เสี่ยงที่มูลค่าจะลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
Bitcoin03
ซึ่งหากเป็นธนาคาร ก็จะบันทึกข้อมูลคุณไว้ในระบบของธนาคาร แต่ว่า ระบบของ “BitCoin”จะถูกบันทึกไว้ในระบบชื่อว่า “Block Chain” ซึ่ง Block Chain จะมีข้อมูลของทุกรายการธุรกรรม ที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด และด้วยมูลค่าที่เพิ่มอย่างรวดเร็ว ก็มีพวกหัวเส คิดเก็งกำไรค่าเงิน “BitCoin” กัน ความเสี่ยงจึงสูงมากๆ หากมูลค่าตกลงมาเร็วเหมือนขาขึ้น ที่สำคัญบริษัทที่รองรับการทำธุรกรรมการเงินังกล่าวมีความน่าเชื่อถือเพียงไร
ความเสี่ยงจากอาชญกรโลกออนไลน์
ที่สำคัญการเริ่มต้นใช้ก็ไม่ง่าย ด้วยความน่าเชื่อถือไม่มีในช่วงแรกๆ จึงมีการผูกติดสกุลเงินของคุณกับบัตรเครดิตของคุณ ในบางประเทศ และเกิดการแฮกข้อมูลบัตรเครดิตเกิดขึ้น เพื่อขโมยเงินจริงๆกันไปแล้ว
สกุลเงิน“BitCoin”ยังมีข่าวอื้อฉาวไปทั่วโลกในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจาก “บริษัทเมาท์กอกซ์” ซึ่งรับซื้อขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกของญี่ปุ่น ได้ประกาศล้มละลาย ขณะที่เว็บไซต์ “เฟล็กซ์คอยน์” ซึ่งเป็นธนาคารบิทคอยน์ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในแคนาดา ก็ประกาศปิดตัวลง เนื่องจากปัญหาการโจมตีระบบของอาชญากรบนโลกไซเบอร์
ล่าสุดมีข่าวว่า ตำรวจของสิงคโปร์กำลังสอบสวนการเสียชีวิตอย่างปริศนาของ ออทัมน์ แรดท์เก สตรีชาวอเมริกันวัย 28 ปี เจ้าของธุรกิจรับซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิตอล ซึ่งรวมถึงบิทคอยน์ ในประเทศแถบเอเชียว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญกรรมออนไลน์หรือไม่
ku-xlarge
นอกจากนี้สกุลเงินใหม่นี้ เป็นช่องทางของมิจฉาชีพในการฟอกเงิน เพราะไม่มีรัฐบาลใดควบคุม ซึ่งมีร้านค้าหลายๆร้าน ทาง Online ก็รับเงิน “BitCoin” เพราะมีข้อดีคือ ค่าธรรมเนียมในการรับจ่าย “BitCoin” ต่ำมากๆ นอกจากนั้นสินค้าหลายๆอย่างที่สินค้าใต้ดิน เช่นพวกยาเสพติด ก็สามารถซื้อขายผ่าน“BitCoin” ได้
สำนักข่าวต่างประเทศจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐรายงานมาในช่วง 2 ปีก่อน ว่า รัฐบาลสหรัฐได้ยึดเงิน “บิทคอยน์” มูลค่า28 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 868 ล้านบาทจากเจ้าของ “บริษัทซิลค์ โรด” ตลาดออนไลน์ ที่ทำธุรกรรมด้านยาเสพติดและอาชญากรรมอื่นๆ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐปิดไปก่อนหน้านี้ อัยการรัฐนิวยอร์กบอกว่า เงิน 144,336 บิทคอยน์ ถูกพบอยู่ในคอมพิวเตอร์ของ รอสส์ วิลเลียม อุลบริทช์ หรือรู้จักกันในออนไลน์ว่า เดรท ไพเรท โรเบิร์ตส์ ซึ่งถูกจับกุมเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ในนครซานฟรานซิสโก และเผชิญข้อหาหลายกระทง
 นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปี 2554 ซิลค์ โรด ได้ตั้งเว็บไซต์นิรนามขึ้นมา เพื่อให้นักค้ายาเสพติด นักปลอมเงิน และอาชญากรอื่นๆ เข้ามาทำธุรกรรมตั้งแต่ค้าเฮโรอีนไปจนถึงมือปืนรับจ้าง โดยมีคนเข้าไปลงทะเบียนใช้เว็บดังกล่าวกว่า 900,000 ราย และติดต่อค้าขายยาเสพติดโดยใช้เงินบิทคอยน์  โดยเรื่องอื้อฉาวนี้ ล้วนสั่นคลอนความเชื่อมั่นในสกุลเงินดิจิตอล แม้ผู้สนับสนุนจะพยายามบอกว่า จะเข้ามาช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินทั่วโลกเป็นไปได้อย่างสะดวกราบรื่นมากยิ่งขึ้นก็ตาม
virtual-money
ผู้อ่าน คนเห็นแล้วว่า “ความเสี่ยงมีรอบด้าน” ทั้งจากแฮกเกอร์ข้อมูลทั้งหลาย จากพวกมิจฉาชีพ ซ้ำรัฐบาลหลายประเทศยังไม่ยอมรับ ดังนั้นผู้เขียนจึงขอให้ทุกคนตระหนักและระมัดระวัง หากถูกชักชวนไม่ว่าจากทางใดก็ตามให้ใช้เงินสกุลใหม่ที่ว่าซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ ก็ต้องศึกษาให้รอบด้าน ทางที่ดีโทรสอบถามจากธนาคารแห่งประเทศไทยดีที่สุด 

การซื้อขายสกุลเงิน” โอกาสทางการลงทุน ที่คนไทยควรรู้

ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตในซิดนีย์มาอย่างยาวนานและสมบุกสมบัน วันแล้วคืนเล่าที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเช้าเย็น เก็บเงินเพื่อแข่งขันกับเข็มนาฬิกาที่วิ่งโร่ไม่รอใคร และแข่งขันกับช่วงเวลาของชีวิตในซิดนีย์ที่สักวันจะต้องปิดฉากลงอย่างมีกำหนดไว้แล้วในวีซ่า ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ล้วนมีต้นทุนชีวิตที่สูงกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะต้องจากบ้าน จากครอบครัว จากคนที่เรารักมา ไหนจะต้องทำงานหนักเกินกว่าที่สังขารจะรับไหว เราแต่ละคน มีวิถีชีวิตที่คล้ายๆ กัน แต่ต่างกันที่เส้นชัย ไม่ว่าเส้นชัยของพวกเราจะต่างกันแค่ไหน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เงิน” คือตัวขับเคลื่อนให้พวกเราไปถึงจุดมุ่งหมายได้ในท้ายที่สุด

นอกจากความประหยัด มัถยัสถ์แล้ว ผมเชื่อว่า “การออมและการลงทุน” จะพาพวกเราไปถึงจุดมุ่งหมายได้ครับ หลังจากที่หักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและตายตัวในแต่ละเดือนแล้ว เราควรจะมีเงินออมอย่างน้อยๆ 5-10 เปอร์เซนต์ไว้ใช้ยามฉุกเฉิน คนไทยกว่า 60 เปอร์เซนต์ เลือกที่จะออมเงินโดยฝากประจำกับธนาคาร โดยเลือกธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูงที่สุด

เมื่อผมฝึกฝนตัวเองให้มีวินัยในการออมได้แล้ว ความคิดที่อยากจะ “ลงทุน” เพื่อให้ดอกผลงอกเงยก็เป็นขั้นตอนต่อไป ผมเริ่มออมเงินอีกส่วนหนึ่งเพื่อการลงทุน ขอย้ำนะครับ ผมไม่ได้เอาเงินออมไปลงทุน แต่ผมออมเงินเพื่อลงทุน “การลงทุน” มีสารพัดรูปแบบและสารพัดความเสี่ยงก็แล้วแต่ว่าใครจะมั่นใจ และสบายใจที่ตรงไหน ส่วนตัวแล้ว ผมกำลังเสาะหาเส้นทางลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยตั้งอยู่ในเงื่อนไขที่ว่า ใช้งบประมาณไม่มากในการเริ่มต้น ไม่เสี่ยงเกินไป ไม่ผิดกฏหมาย ดูแลจัดการได้ด้วยตัวเอง และที่สำคัญที่สุด ไม่โดนหลอกครับ

ถ้าใครได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยเพรสฉบับที่ 353 ก็คงจะผ่านตากับตัวหนังสือ โตๆ ที่เขียนว่า FOREX กับ การลงทุน” ผมอ่านคอลัมน์นั้นวนไปเวียนมาอยู่หลายรอบ หรือนี่จะเป็นการลงทุนที่ผมกำลังตามหาอยู่? คอลัมน์นั้น ทำให้ผมรู้จัก“การเล่นค่าเงิน” หรือ “FOREX” อย่างคร่าวๆ ผมเกิดคำถามขึ้นมากมาย และแต่ละคำถามก็ถูกคลายปมด้วยการหาข้อมูลเพิ่มเติมทั้งที่เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษโดยมีแหล่งที่มาจากหลายๆ ประเทศ รวมถึงข้อมูลจากปากผู้มีประสบการณ์ตรง ผมประมวลข้อมูลที่ได้รับ เพื่อนำมาแบ่งปันกับผู้อ่านเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา ณ โอกาสนี้ครับ


FOREX คือ อะไรกันแน่?

FOREX ย่อมาจากคำว่า Foreign Currency Exchange แปลความว่า “การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ”เรียกย่อๆ ว่า FX  ซึ่งสกุลเงินของประเทศต่างๆนั้น เป็นหนึ่งในสินค้าที่ซื้อขายกันอย่างสากลในตลาดที่เรียกว่า “ตลาดอนุพันธ์” นอกจากสกุลเงินแล้ว น้ำมัน ทองคำ ผลิตผลทางการเกษตรฯ ก็เป็นสินค้าในตลาดอนุพันธ์นี้เช่นกัน โดยจะมีการซื้อขายกันในตลาดสากลตลาดเดียว พูดง่ายๆ ว่าไม่ว่าจะซื้อขาย หรือเทรดจากมุมไหนในโลกก็ใช้มาตรฐานราคาเดียวกันหมด ซึ่งแตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์ที่แต่ละประเทศมีเป็นของตนเอง


การซื้อขาย หรือ การเทรดสกุลเงินนั้น มีคอนเซปต์เดียวกันกับการเทรดหุ้นเพื่อเก็งกำไร การเทรดสกุลเงิน ต้องเทรดเป็นคู่ โดยคู่เงินจะมีการถูกจับคู่ไว้อยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น  AUD/JPY (ดอล่าร์ออสเตรเลีย/เยน ญี่ปุ่น), EUR/USD (ยูโร/ดอลล่าร์สหรัฐฯ)

นักลงทุนส่วนใหญ่ จะมีโบรกเกอร์คอยให้คำแนะนำตั้งแต่เริ่มวิธีการใช้โปรแกรมเทรด ไปจนไปถึงการสอนเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลก่อนจะตัดสินใจลงทุน โดยนักลงทุนสามารถซื้อขายได้เองผ่านโปรแกรม Meta Trader 4 (MT4)ทางโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ได้ และนอกจากนี้ยังสามารถซื้อขายผ่านทางโปรแกรม ST24 สำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการวิเคราะห์เอง แต่เลือกให้นักวิเคราะห์ทำการเทรดให้ โดยสามารถเข้าไปดูประวัติของนักวิเคราะห์แต่ละคนได้
โบรกเกอร์ของ FOREX ไม่มีค่าคอมมิชชั่นเหมือนกับโบรกเกอร์หุ้นนะครับ แต่จะได้เงินจากสิ่งที่เรียกว่า ค่า Spread ซึ่งเป็นราคาส่วนต่างของราคาซื้อ และราคาขาย ส่วนใหญ่แล้ว จะห่างกันเพียงหลักทศนิยมตำแหน่งที่สี่ หรือตำแหน่งที่ห้า เมื่อเปรียบเทียบแล้ว น้อยกว่าค่าคอมมิชชั่นจากการลงทุนในตลาดหุ้นมาก


การทำกำไรในตลาด FOREX
โดยปกติแล้ว หน่วยที่ใช้เรียกการเคลื่อนตัวขึ้นลงของราคาในตลาดหุ้น คือ “จุด” แต่สำหรับตลาด FOREX แล้ว จะมีหน่วยเป็น “pip” โดยใช้ทศนิยมตัวที่สี่ ของราคาเป็นตัวนับ เช่น 0.0001 เท่ากับ 1 pip
ตัวอย่างการทำกำไรเช่น เราเปิดออร์เดอร์ ใช้คำสั่ง Buy คู่เงิน EUR/USD (ยูโร/ดอลล่าสหรัฐฯ) ซึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ราคา 1.2000 เมื่อ ราคาขยับตัวขึ้นไป ที่ 1.2010 เราตัดสินใจปิดออร์เดอร์เพื่อทำกำไร ก็เท่ากับว่า ได้กำไรมา 10 pip นั่นเอง

ที่นี้มาดูการคำนวณกำไรกันบ้าง ถ้าเรา Buy คู่เงิน EUR/USD ที่ราคา 1.2000 ด้วยเงิน 100,000 EUR  1 pip จะมีมูลค่า 10 USD เมื่อราคาวิ่งขึ้นไปที่ 1.2010 แล้วเราปิดออร์เดอร์ ก็เท่ากับเราได้กำไรมา 10 pip นั่นก็หมายความว่าเราจะได้กำไร 100 USD (10 pip x 10 USD)  ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเราต้องใช้เงินนับแสนเหรียญเลยหรือ 1 pip ถึงจะคำนวณได้เท่ากับ 10USD?  กุญแจสำคัญอยู่ที่ตัว Leverage ตัวช่วยที่จะทำให้เงิน 250 USD กลายมาเป็นเงินลงทุน 100,000 USD ได้ หลักการของเจ้า Leverage เป็นอย่างไร โปรดติดตามในหัวข้อต่อไปครับ


ตลาด FOREX มีจุดเด่นอย่างไร?
1. ระบบ Leverage เพิ่มเงินลงทุน ทวีผลกำไร นี่คือไฮไลต์ของตลาด FOREX เลยครับ ค่า Leverage นี้ คือเครดิตที่ทางโบรกเกอร์ให้แก่ผู้ลงทุน เพื่อนำไปลงทุนในตลาดได้มากกว่าเงินที่มีอยู่จริงในบัญชี  ซึ่งให้มากถึง 1: 400 นั่นก็หมายความว่าผู้ลงทุนจะสามารถมีเงินลงทุนได้มมากกว่าเงินต้นที่มีถึง 400 เท่า ยกตัวอย่างเช่น เรามีเงินในบัญชี 250 เหรียญ เราสามารถใช้ตัว Leverage ที่ให้ถึง 400 เท่า คูณกับเงินต้นที่เรามี ฉะนั้นเราจะลงทุนในตลาด FOREX ถึง 100,000 เหรียญ นับเป็นการเพิ่มโอกาสทองในการทำกำไร แต่การใช้ค่า Leverage ต้องศึกษาให้ดีนะครับ เพราะในขณะที่มันทำกำไรให้เราได้อย่างมหาศาล มันก็อาจทำให้เราขาดทุนมโหฬารเช่นกัน ฉะนั้นควรศึกษาหาความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเสียก่อนจะลงทุน
2. ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ตลาดหุ้นทั่วไป จะสามารถทำกำไรได้เพียงในขณะที่ราคาวิ่งสูงขึ้นเท่านั้น แต่ในตลาด FOREX นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ืัทั้งในขณะที่ราคาวิ่งสูงขึ้น หรือลดลง หลักการทำกำไรคือ ส่วนต่างของราคาที่เข้าออกตลาด
3. ตลาด FOREX เปิดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์
4. ขั้นตอนการเปิดบัญชีที่ง่ายดาย
เมื่อเทียบกับการเปิดพอร์ตเพื่อเล่นหุ้นที่ไทยแล้ว การเปิดบัญชี FOREX ทำได้ง่ายกว่ามากๆ ไม่ต้องเป็นพลเมืองออสเตรเลีย ก็เปิดบัญชีได้ ใช้แค่เอกสารเพียง 2 อย่าง คือ พาสปอร์ต และ จดหมายที่ยืนยันที่อยู่ของผู้เปิดบัญชี โดยอัพโหลดผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทโบรกเกอร์ที่เราไว้ใจ
นอกจากขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนแล้ว นักลงทุนไม่จำเป็นต้องมีเงินถุงเงินถังเพื่อเปิดบัญชีเพราะเงิน เริ่มต้นที่ 100 เหรียญ ก็เปิดบัญชีได้ ข้อดีตรงจุดนี้เองที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนในตลาด FOREX ได้ ไม่เหมือนกับตลาดหุ้น
ที่ประเทศไทย ยังไม่มีกฎหมายอนุญาตให้มีโบรกเกอร์ FOREX ฉะนั้นการเทรดในตลาด FOREX ที่ไทยมีความเสี่ยงสูงครับ เลยเป็นข้อได้เปรียบของคนไทยในซิดนีย์ ที่สามารถเข้าเทรดได้อย่างมั่นใจ เพราะออสเตรเลียมีกฎหมายคุ้มครองครับ

“คุณ” เหมาะสมกับตลาด FOREX หรือไม่?
1. เป็นผู้ที่มีระเบียบวินัยในตัวเอง สนใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และต้องการหาช่องทางการลงทุนบนพื้นฐานของการวิเคราะห์
2.ต้องการบริหารเวลาของตัวเองเพราะมีข้อจำกัดจากงานประจำ
3.ต้องการทำกำไรในระยะสั้น เพราะตลาด FOREX มีปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นกว่าตลาดหุ้นมาก ราคาจึงเคลื่อนไหวตลอดเวลา นักลงทุนจึงทำกำไรได้รวดเร็วกว่าตลาดหุ้น
4.ไม่พร้อมที่จะลงทุนในจำนวนเงินที่สูง ระบบ Leverage ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ได้เพิ่มทุนให้มากสุดถึง 400 เท่า
5. มีความเข้าใจในตรรกะ High Risk, High Return เป็นอย่างดี เข้าใจว่าทุกการลงทุนล้วนมีความเสี่ยงยิ่งลงทุนมากผลตอบแทนก็มากตาม ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นเช่นกัน

ตลาด FOREX ในซิดนีย์ เชื่อถือได้แค่ไหน
FOREX เป็นที่นิยมของนักลงทุนจากทั่วโลก มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละวันร่วมหลายล้านๆ เหรียญ และซิดนีย์ เป็นหนึ่งในตลาดใหญ่ของโลก รัฐบาลจึงได้ออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองนักลงทุนโดยเฉพาะ โดยกฎหมายนี้มีชื่อว่า Australian Client Money Laws and Regulations เพื่อปิดช่องโหว่จากการที่ผู้ลงทุนอาจถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัทโบรกเกอร์โดยกำหนดให้บริษัทโบรกเกอร์ ต้องแยกเงินของลูกค้าเข้าบัญชีกับธนาคารต่างหากไม่มีการเอามาปะปนเพื่อการหมุนเวียนในบริษัทอย่างเด็ดขาด ส่วนกฎหมายในส่วน Part 7.8 ของ Corporations Act 2001 (Commonwealth) เป็นเครื่องรับรองว่าถ้าเกิดบริษัทโบรกเกอร์ของเราปิดกิจการไป หรือถูกถอนใบอนุญาต กฎหมายตัวนี้จะคุ้มครองสิทธิ์ของผู้บริโภค และเราจะได้รับเงินคืนแน่นอนครับ
ก่อนหน้านี้โลกของเราวิวัฒน์มาหลายช่วงเวลาและยุคสมัย จนกระทั่งวันที่สังคมของเราพัฒนาแบบก้าวกระโดดด้วยระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ และ Internet จนถึงวันนี้ Google ได้ปฏิวัติระบบความรู้ในโลกให้ง่ายเหมือนรับประทานแคปซูล และ Facebook ก็ได้เชื่อมโยงผู้คนในสังคมโลกให้ใกล้ชิดกันแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสายสัมพันธ์ของมนุษยชาติ
unnamed
    อีกเรื่องหนึ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยก็คือ การถือกำเนิดของ BitCoin สกุลเงินตราสกุลใหม่ของโลกที่เพิ่งกำเนิดขึ้นได้ไม่นาน และว่ากันว่าจะมาปฏิวัติรูปแบบการเงินครั้งใหม่ของโลกในอนาคต ไม่ใช่สกุลเงินของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นสกุลเงินในรุปแบบ Digital ที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันทาง Internet ทั่วไป ไม่มีพิมพ์จำหน่ายจ่ายแจกเหมือนธนบัตร
     BitCoin เป็นสกุลเงิน Digital ซึ่งสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องผ่านธนาคารกลางในการทำธุรกรรมทางการเงิน ถูกออกแบบขึ้นครั้งแรกโดย Satoshi Nakamoto บุรุษไร้เงาชาวญี่ปุ่น ซึ่งนำเสนอผ่านรายงานที่ชื่อว่า Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System อันลือลั่นของเขา และนำมาสู่สกุลเงิน Digital ดังกล่าวในเวลาต่อมา
unnamed (1)
 ประเด็นสำคัญของการกำเนิด BitCoin ก็คือ มันเป็นสกุลเงิน Digital ที่อยู่ภายใต้การดูแลของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกของผู้ใช้ทุกๆ คน โดยไม่ต้องพิมพ์ธนบัตรเหมือนสกุลเงินทั่วไป ไม่ต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของธนาคารกลางประเทศใด เพื่อลดบทบาทของธนาคารในการกำหนดค่าเงินและการพิมพ์ธนบัตร โดยเฉพาะการบันทึกการทำธุรกรรมการเงิน ซึ่งแทนที่จะต้องให้ธนาคารเป็นผู้ดูแลการโอนเงินของผู้ใช้ แต่ BitCoin ออกแบบให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถรับรู้และช่วยยืนยันการโอนเงินซึ่งกันและกัน ผ่าน Software เครื่องคอมพิวเตอร์ของทุกคนที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายทั่วโลก
อธิบายอย่างง่ายๆ ก็คือ BitCoin ไม่ต้องพึ่งธนาคารหรือสถาบันทางการเงิน ในการยืนยันสถานะต่างๆ ให้ และบันทึกลงในระบบของธนาคารหรือในสมุดบัญชีเหมือนดังเช่นที่ผ่านมา แต่ผู้ใช้ BitCoin ทั่วโลกรับรู้และยืนยันกันเองผ่านระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ใช้โปรแกรมการเงินดังกล่าวร่วมกัน ผ่านระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้ BitCoin ทั้งหลายมี address หรือเลขที่บัญชีของตนเองอยู่ และซื้อขายสินค้ากันผ่านบัญชีต่างๆ ดังกล่าวได้โดยตรง (โดยไม่ต้องพึ่งนายธนาคารมาการันตีการเงิน)
หากเป็นธนาคารทั่วไปนั้น ธนาคารจะบันทึกข้อมูลทางการเงินของเจ้าของบัญชีไว้ในระบบของธนาคาร แต่ระบบของ BitCoin จะถูกบันทึกไว้ในระบบชื่อว่า Block Chain ซึ่งจะมีข้อมูลของทุกรายการธุรกรรมที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดในระบบโครงข่ายคอมพิวเตอร์  เงินตราหรือธนบัตรโดยปกติแล้วอาจจะถูกกำหนดโดยรัฐบาลและแจกจ่ายโดยธนาคาร แต่ BitCoin เกิดจากการคำนวณและแจกจ่ายให้กับ Miners หรือคนที่สร้างมูลค่าเงิน Digital ในระบบคอมพิวเตอร์ Internet โดยวิธีการ “สร้างเหมือง” ที่มีจำกัดและสมดุลกับผู้ใช้ทั่วโลกผ่านระบบคอมพิวเตอร์ความเร็วสูงที่ถูกลงทุน หรือที่เรียกว่าการ run BitCoin mining software บนคอมพิวเตอร์ของ miners โดย mining software จะทำงานและนำรายการธุรกรรมที่เกิดขึ้นผ่าน Network หรือพื้นที่ในระบบคอมพิวเตอร์โครงข่ายของทุกคนและใส่เข้าไปใน Block Chain (ระบบการโอนเงินจะเคลื่อนที่ผ่าน software ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนที่ run BitCoin mining software หรือ Miners ที่อุทิศพลังงานบางส่วนในคอมพิวเตอร์ให้ระบบ Software BitCoin ดังกล่าว ซึ่งเท่ากับว่า ให้ทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมดังกล่าว เป็นเหมือน “ธนาคาร” ร่วมกัน โดยไม่ต้องมีคนกลางมาทำหน้าที่แทนเหมือนธนาคารในโลกจริง)
bitcoin_mining_rig
ข้อดีของ BitCoin สกุลเงินที่กำลังแพร่หลายและสะเทือนวงการการเงินโลกในเวลานี้ก็คือ ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ถูกมากกว่าหลายเท่าและรวดเร็ว เมื่อเทียบกับวิธีการทำธุรกรรมผ่านสถาบันทางการเงินทั่วไป เท่าที่ทราบในขณะนี้ค่าธรรมเนียมอาจอยู่ที่ 0.0005 BTC หรือน้อยกว่า 25 สตางค์ต่อ 1 รายการการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงประหยัดกว่าการใช้บัตรเครดิต ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูงมากกว่า จนได้รับการยอมรับในการใช้แลกเปลี่ยนสินค้าหรือแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
     ปัจจุบัน BitCoin เป็นเงินสกุลหนึ่งของโลกไปแล้วที่ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นมาก เพราะการไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่ง ในเมืองไทยทราบว่ามีประมาณ 9 บริษัทที่รับทำธุรกรรมการเงินด้านนี้ ขณะที่ประเทศเยอรมนีได้ออกประกาศรับรองให้ BitCoin เป็นสินทรัพย์ส่วนบุคคล เช่นเดียวกับหุ้นและพันธบัตร สามารถถือครองและซื้อขายแลกเปลี่ยนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ถือครอง BitCoin ต้องแจ้งจำนวนที่ถือครองต่อทางการทุกปีเพื่อแสดงว่าเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ เพื่อเรียกเก็บภาษีจากกำไรในการค้า
     นอกจากนี้ BitCoin ยังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีน ักธุรกิจชาวจีนจำนวนมากถือสินทรัพย์ของตัวเองในรูปของเงิน BitCoin ไว้เพื่อเก็งกำไรค่าเงิน และอีกส่วนหนึ่งอาจเพื่อหลบหนีการควบคุมของทางการ เพราะการเคลื่อนย้ายเงินตราเข้า-ออกประเทศจีนนั้นทำได้ค่อนข้างลำบาก ในขณะที่ธนาคารกลางจีนได้ออกมาห้ามสถาบันการเงินทำธุรกรรมการเงินและซื้อขาย BitCoin พร้อมคำเตือนว่า BitCoin ไม่มีสถานะทางกฎหมายและไม่ได้รับการยอมรับจากทางการจีนในฐานะเงินตรา รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยเช่นกัน เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการค้า BitCoin เพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาท 
     ขณะที่ ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ออกมายืนยันว่าจะไม่เข้าแทรกแซงการรับรองเงิน Digital อย่าง BitCoin โดยเปิดเสรีให้องค์กรธุรกิจต่างๆ สามารถเลือกได้เองว่าจะยอมรับการจ่ายค่าสินค้าและบริการด้วยเงิน BitCoin หรือไม่ แม้หลายประเทศยังไม่ยอมรับให้สถานะทางกฎหมายในฐานะเงินตราก็ตาม unnamed (2)

อย่างไรก็ตาม BitCoin อาจจะกลายเป็นสกุลเงิน Digital ที่จะมาปฏิวัติระบบการเงินโลกในไม่ช้าก็เร็วนี้อย่างแน่นอน, นับตั้งแต่ อาณาจักร Rothschilds ได้เข้าควบคุมระบบการเงินและยึดกุมธนาคารกลางในหลายประเทศเมื่อกว่า 200 ปีก่อน จนกลายมาเป็นผู้ควบคุมระบบการเงินโลกในปัจจุบัน จนกระทั่งพวกเขามีอำนาจใน ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ซึ่งสามารถผลิตธนบัตรเองได้โดยไม่ต้องมีทองคำสำรองประเทศเดียวในโลกในเวลานี้ และยังเป็นเจ้าของธนาคารขนาดใหญ่และอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมากมาย
เพราะว่าระบบการเงินในปัจจุบัน แม้ถูกควบคุมด้วยธนาคารชาติต่างๆ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ในการกำหนดค่าเงินของตนเองด้วยการพิมพ์ธนบัตร, ดอกเบี้ย, เงินสำรองหรือกระบวนการต่างๆ ก็ตาม แต่ถึงที่สุดแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราถูกควบคุมระบบการเงินโดยกลุ่มทุนการเงินระดับโลกอีกต่อหนึ่งอยู่ดี
ดังนั้น แนวคิดการสร้างระบบการเงินสกุล Digital แทนที่นโยบายการเงินจากธนาคาร โดยออกแบบให้ทุกคนช่วยกันยืนยันรับรองเงินตราและการโอนเงินซึ่งกันและกันแทนที่ระบบธนาคารดังกล่าวนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจและท้าทายระบบการเงินในโลกทุนนิยมแบบเก่ายิ่งนัก.

หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรก คอลัมน์โลกและเรา (เมธา มาสขาว) หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2557
1) ปัจจุบัน Federal Bureau of Investigation (FBI) เข้ามาถือครอง BitCoin จำนวนมากจนว่ากันว่าเป็นรายใหญ่รายหนึ่งของโลก เพื่อเข้ามาสืบสวนติดตามการฟอกเงินหรืออาชญากรรมทางการเงินในเครือข่ายยาเสพติดที่อาจใช้เงิน DIgital ในการซื้อข่ายถ่ายโอนและแลกเปลี่ยนเงินตรา เนื่องจากการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของทุกคนเป็นตัวผ่านและยืนยันการโอน จึงทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าบัญชีทางการเงินต่างๆ เป็นของผู้ใดบ้าง ผ่านระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งค่อนข้างแฮกยาก หากมีผู้ใช้มากขึ้นๆ ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีผู้ใช้หลายล้านคน

2) ค่าเงิน BitCoin ปัจจุบันอยู่ที่ 1 BitCoin ต่อ 13,954-15,219 บาท (7 เมษายน 2557 – https://bitcoin.co.th) และเคยขึ้นถึง 30,000 บาทต่อ 1 BitCoin ซึ่งถือว่าค่าเงิน BitCoin มีความผันผวนเป็นอย่างมาก และขึ้นลงตามอุปสงค์(demand) และอุปทาน (supply) ของโลก ปัจจุบันมีมีผู้คนจำนวนมากเกร็งกำไรค่าเงินดังกล่าวในทางที่ผิด เหมือนการเล่นพนัน โดยขายบ้าน ขายรถ ซื้อ-ขาย เกร็งกำไรค่าเงินดังกล่าว ซึ่งอาจนำมาสู่การล้มละลายได้
จำนวนผู้ใช้บิทคอยน์ ในจำนวนนี้ประกอบด้วยธุรกิจเกี่ยวกับอิฐและครก ธุรกิจร้านอาหาร อพาร์ตเมนท์ให้เช่า บริษัทกฎหมายและธุรกิจบริการออนไลน์เช่น Namecheap, WordPress, Reddit และ Flattr ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 มูลค่าบิทคอยน์ทั้งหมดในระบบอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้าน USD โดยมีมูลค่าการทำธุรกรรมเกี่ยวกับบิทคอยน์ประมาณหลายล้าน USDในแต่ละวัน
3) BitCoin สร้างขึ้นโดย Satoshi Nakamoto บุคคลลึกลับที่อ้างว่าตัวเองมาจากประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่มีข้อมูลอื่นใดเดี่ยวกับตัวเขา เขาใช้อีเมลจากบริการฟรีเพื่อพูดคุยในเมลลิ่งลิสด้านการเข้ารหั เขาเริ่มพัฒนา BitCoin ในปี 2007 และเปิดเผยมันออกมาในปี 2009 (เอกสารการออกแบบ (PDF)) จากนั้นจึงค่อยๆ ลดบทบาทตัวเองลงไป จนกระทั่งหายตัวไปในที่สุด เชื่อกันว่าชื่อ Satoshi ถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะเพื่อโครงการนี้ เมื่อพิจารณาจากความเชี่ยวชาญด้านการเข้ารหัสที่สูงมาก แต่กลับไม่มีชื่อนี้ในวงการวิชาการการเข้ารหัส เช่น บทความในวารสารวิชาการหรืองานประชุมวิชาการใดๆ ที่เป็นที่รู้จัก โดเมนหลักของโครงการคือ BitCoin.org นั้นถูกจดทะเบียนกับบริษัทรับจดทะเบียนแบบปกปิดตัวตนก่อนจะโอนให้กับ Martti Malmi หนึ่งในนักพัฒนาหลักของโครงการชาวฟินแลนด์ สิ่งที่ระบุตัวตนของ Satoshi เข้าได้จริงๆ มีเพียงกุญแจ PGP ที่ใช้ติดต่ออีเมลกับเขาเท่านั้น
BitCoin เป็นหน่วยเงินใช้ชื่อย่อสกุลเงินว่า BTC ใช้สัญลักษณ์ B⃦ แทนหน่วยเงินแต่เนื่องจากเป็นอักขระที่ไม่ได้รับความนิยม หลายครั้งเราจึงเห็นเว็บที่รับเงิน BitCoin ใช้สัญลักษณ์เงินบาท (฿) แทน โดยตัวเงินจะสามารถแบ่งย่อยไปได้ถึงทศนิยมแปดหลัก เรียกหน่วยย่อยที่สุดว่า satoshi ตามชื่อผู้ให้กำเนิดมัน
การออกแบบของ BitCoin อาศัยการเชื่อมต่อ P2P ของโลกอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก โดยหลักการแล้ว การโอนเงินทุกครั้งจะต้องประกาศออกไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกที่รันโปรแกรม BitCoin อยู่ ทำให้ทุกคนรับรู้ว่ามีการโอนเงินก้อนใดไปยังใครบ้าง เงินแต่ละก้อนสามารถแตกออกเป็นเงินย่อยๆ ได้ ทุกครั้งที่คนๆ หนึ่งจะโอนเงินไปให้กับคนอื่นจะเป็นการแตกเงินออกเป็นสองก้อน นั่นคือการโอนให้ยังปลายทาง และที่เหลือโอนกลับเข้าตัวเอง (https://www.blognone.com/node/35180)
หลายคนเชื่อว่าชื่อนี้สร้างขึ้นมาปิดบังตัวตนที่แท้จริงของผู้สร้าง BitCoin โดยเฉพาะ หลักฐานทุกอย่างของ Satoshi ถูกเข้ารหัสปิดบังตัวตนไว้เป็นอย่างดี ทำให้การสืบกลับไปถึงตัวผู้สร้างแทบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถึงกระนั้น Ted Nelson โปรแกรมเมอร์ผู้โด่งดัง ก็ได้กล่าวอ้างว่าผู้สร้าง BitCoin คือ Shinichi Mochizuki โดยสังเกตจากระดับความรู้ความสามารถและรูปแบบการนำเสนอผลงานที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Shinichi Mochizuki สำเร็จการศึกษาระดับ Ph.D. ในสาขาคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Princeton ด้วยวัย 22 ปี และได้รับตำแหน่งทางวิชาการเป็นศาสตราจารย์ใน 11 ปีให้หลัง ผลงานที่สำคัญคือการพิสูจน์ข้อคาดการณ์ abc
อย่างไรก็ตามก็ไม่เป็นที่ยืนยันว่า Shinichi Mochizuki กับ Satoshi Nakamoto เป็นคนๆ เดียวกันแต่อย่างใด
ขณะที่นิตยสาร Newsweek ได้ตีพิมพ์สกู๊ปข่าวที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบิตคอยในสัปดาห์นี้ Leah McGrath Goodman นักเขียนและนักข่าวสืบสวนของ Newsweek ได้ไปค้นพบกับ Satoshi Nakamoto ที่เป็นตัวเป็นตนจริง ซึ่งน่าแปลกใจว่าชายที่ดูท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนนี้จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความนิยมใน Cryptocurrency
Satoshi ที่ Newsweek อ้างว่าเป็นตัวจริงนี้ไม่ใช่เด็กฉลาดในโตเกียว หรือสายลับ หรือกลุ่มนักพัฒนา ไม่มีความลึกลับอะไรแม้แต่นามแฝงก็ไม่มี เค้าอายุ 64 ปี เป็นคนแคลิฟอร์เนียที่รักในคณิตศาสตร์ การเข้ารหัส และโมเดลรถไฟจำลอง McGrath Goodman อ้างว่าแบ็คกราวของเค้ายังไม่ชัดเจนทั้งหมด แต่ที่เด่นชัดคือเค้าเป็นนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ทำงานในโครงการลับขององค์กรเอกชนและกองทัพสหรัฐ
เค้าไม่ได้มีไลฟ์สต์ชิวิตแบบที่ออกไปจิบค๊อกเทลและใช้จ่ายด้วยบิตคอยที่เฟรนช์ริวีเอราหรูหราอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ Nakamoto อาศัยอยู่ที่เมืองเทมเปิล รัฐแคลิฟอร์เนียอันเงียบสงบ ปลอดภัย ไม่ใช่อย่างที่คุณคาดคิดว่าชายคนนี้จะมีบิตคอยมูลค่ากว่า 400 ล้านดอลลาร์
ตามที่ McGrath Goodman รายงาน Nakamoto ไม่ได้ตื่นเต้นเมื่อเจอผู้สื่อข่าวที่บ้านของเค้า และเค้าโทรเรียกตำรวจ จนนักข่าวต้องบอกกับตำรวจว่าเค้าเป็นผู้ที่ประดิษฐ์คิดค้นบิตคอย และทำให้ตำรวจแปลกประหลาดใจเช่นกัน
Nakamoto บอกกับนักข่าวว่า ผมไม่ได้มีส่วนร่วมกับมันอีกแล้วและไม่สามารถจะพูดคุยเกี่ยวกับมันได้
อีกทั้งไม่มีใครรู้เลยว่าเค้าเป็นคนสร้างบิตคอยน์แม้แต่ครอบครัวของเค้าเอง ไม่ แม้แต่เพื่อนหรือคนในท้องที่ พี่ชายของเค้าบอกกับ Newsweek ว่าเค้าเป็นคนอัจฉริยะแต่ชอบสันโดษและไม่ชอบคุยเกี่ยวกับงานของเค้าเอง ทั้งเค้าก็ไม่เคยรับรู้การมีส่วนร่วมของ Nakamoto ในบิตคอยน์เลย
Newsweek ติดตาม Nakamoto ผ่านทางบริษัทหนึ่งที่เค้าเคยซื้อส่วนประกอบของโมเดลรถไฟไอน้ำ ซึ่งได้รับชิ้นส่วนจากอังกฤษและญี่ปุ่น และเค้าได้ทำรถไฟจำลองตั้งแต่วัยรุ่น อีกทั้งยังทำเครื่องจักรเองด้วย
Nakamoto ไม่ใช้เวลากับการพูดคุยกับนักข่าว เค้าบอกว่ามีสิ่งที่ดีกว่าต้องทำ (ที่มา: coindesk)
* ทั้งนี้ล่าสุดยังไม่ยืนยันว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ และเค้าได้ปฏิเสธในสิ่งที่ Newweeks กล่าวอ้าง* 
หลังข่าวของ Newsweek เผยแพร่ออกมาว่าพบ Satoshi Nakamoto ตอนนี้บัญชีของ Satoshi Nakamoto บนเว็บ P2P Foundation ที่ไม่เคลื่อนไหวมานานสามปีเต็มก็โพสความเห็นสั้นๆ อีกครั้งว่า“ผมไม่ใช่ Dorian Nakamoto”
Gavin Andresen หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Bitcoin Foundation ออกมาเขียนจดหมายเปิดผนึกบน Reddit ระบุว่าผิดหวังกับนักเขียนและสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความที่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวจำนวนมากจนกระทั่งคนอื่นๆ สามารถตามหาตัวคนในบทความได้โดยง่าย และหลักฐานทั้งหมดที่ Newsweek แสดงได้ก็เป็นเพียงหลักฐานแวดล้อมเท่านั้น นอกจากข้อความที่บอกว่า “ผมไม่ได้เกี่ยวกับมันแล้ว” ซึ่ง Dorian อาจจะพูดเพื่อให้นักข่าวออกไปให้พ้นๆ จากบ้านของเขาเท่านั้น
 



ดอลล่าร์บรูไน ดารุสซาลาม เป็นสกุลเงินของประเทศบรูไนดารุสซาลาม
*1 ดอลล่าร์บรูไน เท่ากับประมาณ  25 บาทไทย  
The Brunei Dollar (BND) is the official currency of Brunei Darussalam. 
The current exchange rate of the Brunei Dollar (BND) to the Thai Baht (THB) is approximately 1 BND to 25 THB.
ธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ในปัจจุบันนี้มีฉบับละ 1 ดอลลาร์, 5 ดอลลาร์, 10 ดอลลาร์, 20 ดอลลาร์ , 25 ดอลลาร์, 50 ดอลลาร์, 100 ดอลลาร์, 500 ดอลลาร์ , 1,000 ดอลลาร์ และ 10,000 ดอลลาร์
Cambodian Riel
 

เรียล (Riel) เป็นสกุลเงินของประเทศกัมพูชา
*127 เรียล เท่ากับประมาณ 1 บาท  
The Cambodian Riel (KHR) is the official currency of Cambodia.
127 Cambodian Riel = 1 Thai Baht
ธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ในปัจจุบันนี้มีฉบับละ 50 เรียล 100 เรียล 200 เรียล  500 เรียล 1,000 เรียล 2,000  เรียล  5,000  เรียล  10,000  เรียล  20,000  เรียล 50,000  เรียล และ 100,000  เรียล 

Indonesian Rupiah

รูเปียห์ (Rupiah) เป็นสกุลเงินของประเทศอินโดนีเซีย
* 1,000 รูเปียห์ เท่ากับประมาณ 3 บาท  
The Indonesian Rupiah (IDR) is the official currency of Indonesia.
1000 Indonesian Rupiah = 3 Thai Baht
ธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ในปัจจุบันนี้มีฉบับละ 1,000 รูเปียห์,  2,000 รูเปียห์ ,  5,000 รูเปียห์,  10,000 รูเปียห์,  20,000  รูเปียห์ 50,000 รูเปียห์และ 100,000 รูเปียห์
Lao Kip

 กีบ (Kip) เป็นสกุลเงินของประเทศลาว
The Lao Kip (LAK) is the official currency of Laos. 
* 1,000 กีบ เท่ากับประมาณ  4 บาทไทย
1000 Lao Kip = 4 Thai Baht
ธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ในปัจจุบันนี้มีฉบับละ 500 กีบ, 1,000 กีบ, 2,000 กีบ, 5,000 กีบ, 10,000 กีบ, 20,000 กีบ และ 50,000 กีบ

Malaysian Ringgit
 

 ริงกิต (Ringgit) เป็นสกุลเงินของประเทศมาเลเซีย
1  ริงกิตมาเลเซียเท่ากับประมาณ 10 บาท 
The Malaysian Ringgit (MYR) is the official currency of Malaysia.  
*1 Malaysian Ringgit approximately equals 10 Thai Baht
ธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ในปัจจุบันนี้มีฉบับละ 1 ริงกิต, 5 ริงกิต , 10 ริงกิต, 20  ริงกิต, 50 ริงกิต และ 100 ริงกิต

Myanmar Kyat

 จ๊าด (Kyat) เป็นสกุลเงินของประเทศพม่า
* 26 จ๊าดเท่ากับประมาณ 1 บาทไทย  
The Myanmar Kyat (MMK) is the official currency of Myanmar. 
26.0460 Myanmar Kyat = 1 Thai baht
ธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ในปัจจุบันนี้มีฉบับละ 50 ปยา, 1 จ๊าด, 5 จ๊าด, 20 จ๊าด, 50 จ๊าด, 100 จ๊าด, 200 จ๊าด, 500 จ๊าด, 1,000 จ๊าด , 5,000 จ๊าด และ 10,000 จ๊าด
Philippine Peso
 

 เปโซ (Peso) เป็นสกุลเงินของประเทศฟิลิปปินส์
*1.40 เปโซ เท่ากับประมาณ 1 บาท  
The Philippine Peso (PHP) is the official currency of the Philippines. 
1.40 Philippine Peso = 1 Thai Baht
ธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ในปัจจุบันนี้มีฉบับละ 20 เปโซ, 50  เปโซ, 100  เปโซ , 200  เปโซ, 500  เปโซ และ 1,000  เปโซ
Thai Baht
 

 บาท (Baht) เป็นสกุลเงินของประเทศไทย
The Thai Baht (THB) is the  official currency of Thailand. 
ธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ในปัจจุบันนี้มีฉบับละ 20 บาท, 50 บาท , 100 บาท , 500 บาท และ 1,000 บาท
Singapore Dollar
 

ดอลลาร์ (Dollar) เป็นสกุลเงินของประเทศสิงคโปร์
* 1 ดอลล่าร์สิงคโปร์ เท่ากับประมาณ 25 บาท 
The Singapore Dollar (SGD) is the official currency of Singapore.
1 Singapore Dollar approximately equals 25 Thai Baht.
ธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ในปัจจุบันนี้มีฉบับละ 2 ดอลลาร์, 5 ดอลลาร์ , 10 ดอลลาร์ , 50 ดอลลาร์, 100 ดอลลาร์, 1,000 ดอลลาร์ และ 10,000 ดอลลาร์
Vietnamese Dong
 


 ด่ง (Dong) เป็นสกุลเงินของประเทศเวียดนาม
* 652 ด่ง เท่ากับประมาณ  1  บาทไทย 
The Vietnamese Dong (VND) is the official currency of Vietnam. 
652 Vietnamese Dong = 1 Thai Baht
ธนบัตรที่พิมพ์ออกใช้ในปัจจุบันนี้มีฉบับละ 1,000 ด่ง 2,000 ด่ง 5,000 ด่ง 10,000 20,000 ด่ง 50,000 ด่ง 100,000 ด่ง 200,000 ด่ง และ 500,000 ด่ง 
http://www.uasean.com/dogtech/315